1. เลือกดูสินค้าที่ต้องการ

เราจะต้องเลือกเฉพาะสินค้าที่ทราบมาแล้วว่า เป็นสินค้าขายดี ซึ่งเทคนิคง่ายอย่างหนึ่งคือ
การที่เราไปดูจากฟังค์ชั่น Best Sellings ใน Amazon หรือเข้าไปดูตามเว็บไซต์ขายสินค้า
อื่นๆเช่น Yahoo! Shoppping เป็นต้น

2. ตรวจสอบราคาสินค้า ว่าราคาใน Amazon ถูกหรือแพงกว่าท้องตลาด

สำคัญมาก**เพราะถ้าหากว่า สินค้าใน Amazon ขายแพงกว่าทั่วไป คนจำนวนมาก
ย่อมจะไปซื้อสินค้าจากเว็บไซต์อื่นๆแทน Amazon ดังนั้นต่อให้เราทำโฆษณายังไงก็
ขายได้ยากค่ะ

แต่ถ้าหากว่าสินค้าชิ้นไหนที่ Amazon ขายต่ำกว่าท้องตลอด โอกาสในการที่คนจะวิ่งมา
ซื้อสินค้าจากที่ Amazon ก็แทบจะเป็น 100% เลยล่ะค่ะ

3. ดูรายละเอียดสินค้าว่า มีโอกาสขายได้มากน้อยแค่ไหน

เราต้องทำการวิเคราะห์รายละเอียดของแต่ละสินค้าให้ดี เพราะความแตกต่างเล็กๆน้อยๆ
อาจจะนำมาซึ่งความสำเร็จได้ค่ะ เช่น สินค้าที่เราจะเลือกทำโฆษณา ควรจะเป็นสินค้า
ที่มีการจัดส่งฟรี (Free Shipping) มีสินค้าอยู่ในโกดัง (In Stock) เป็นต้น

4. ตรวจสอบความต้องการในการซื้อสินค้า

หลังจากเราเลือกสินค้าได้แล้ว เราก็ต้องดูด้วยว่า ความต้องการในตลาดตอนนี้มีมากน้อย
แค่ไหน และแนวโน้มในอนาคตจะมีมากแค่ไหน เพื่อที่เราจะได้วางแผนในการทำ
โฆษณาได้อย่างถูกต้องค่ะ

5. คำนวณ รายได้ รายจ่าย และ กำไร ในการโฆษณาสินค้า

ธุรกิจที่ดี คือ ธุรกิจที่รู้แต่แรกแล้วว่าจะได้กำไร เช่นเดียวกันค่ะ ก่อนที่จะทำโฆษณา
สินค้าชิ้นไหนก็ตาม เราควรจะต้องทำการคำนวณรายละเอียดให้เรียบร้อยก่อนว่า
มีโอกาสได้กำไรมากน้อยแค่ไหน สินค้าชิ้นไหนที่มีโอกาสทำกำไรมาก เราก็ควรจะ
นำไปทำโฆษณาก่อนค่ะ

ทั้ง 5 ข้อก็เป็นขั้นตอนง่ายๆที่คุณสามารถนำไปใช้ได้เลยล่ะค่ะ ซึ่งเราเองก็ได้ใช้มาแล้ว
และได้ผลลัพธ์ที่ดีเป็นอย่างมาก เพราะอย่างน้อยๆ ก็ทำให้ธุรกิจเป็นระบบขึ้น
รู้ว่าจะต้องทำอะไรก่อน อะไรหลัง ดังนั้นสิ่งที่ตามมาก็คือ เวลาว่างที่มากขึ้น และ
กำไรที่มากขึ้น

ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้เราก็ได้รับมาจากการเรียนรู้ใน Amazon eClass ของคุณตราวุทธิ์
(ข้อมูลจาก www.thaisem.com เขียนโดย คุณ jkmommam )
จริงๆผมได้ปล่อยต้นฉบับของบทความนี้ใน Blog ผมไป 2 วันแล้วนะเนี่ย แต่คนเข้า blog ยังน้อยอยู่กลัวว่าความรู้จะแจกจ่ายไม่ทั่วถึง เลยเอามา post ไว้หลายๆที่หน่อย เนื่องจากมีหลายท่านส่งคำถามเข้ามาว่าทำอย่างไรถึงจะขึ้นไปอยู่หน้าหนึ่งให้ ได้ สำหรับผมแล้วก็ไม่ได้ทำแตกต่างอะไรไปจากเพื่อน คือทำการเขียน Blog แล้วทำ Link กลับเข้าไปหาร้าน aStore ของเรา แต่สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เราพุ่งพงาดไปหน้า 1 ได้นั้นส่วนสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการจัดหน้าร้านอย่างถูกหลัก Search Engine Optimization และถูกหลักจิตวิทยา ซึ่งทั้งสองอย่างเปรียบเสมือนศาสตร์ และศิลป์ หากขาดอย่างใดไปอย่างหนึ่งแล้วย่อมทำให้ลูกค้าซึ่งมีจิตใจแปรปรวน อาจจะหนีออกไปจากหน้าร้าน aStore เราอย่างรวดเร็ว ลองนึกภาพง่ายๆ ครับว่าระหว่างร้านโชว์ห่วย กับร้าน 7-Eleven เราเลือกที่จะเข้าไปร้านไหน (ตอบตามความจริงนะครับ อย่าพึ่งเอาเลือดรักชาติมาเกี่ยวข้อง) ผมเชื่อว่ากว่า 90% ต้องตอบว่า 7-Eleven แน่นอน แต่ทีนี้เพื่อนลองมาสังเกตุตัวเองดูครับว่าทำไมถึงเลือกที่จะเข้าร้าน 7-Eleven มากกว่าที่จะเข้าร้านทั่วไป สำหรับผมแล้วสิ่งที่ทำให้ผมเลือกที่จะเข้าร้าน 7-Eleven มาจาก 7 ประการหลักต่อไปนี้

จัดหน้าร้านอย่าง 7-Eleven
1. จัดร้านสะอาด ไม่รกเลอะเทอะ
2. หาของง่าย จัดของเป็นหมวดหมู่
3. มีของครบ อยากได้อะไรเข้าไปได้เกือบหมด
4. มีป้ายสินค้าลดราคาแปะเห็นเด่นชัด
5. ดูร้านน่าเชื่อถือ เปิดไฟสว่าง
6. พนักงานขายเป็นผู้หญิง เทียบกับร้านโชว์ห่วยแล้วมักจะเป็นอาแปะ หรือป้า แก่ๆ
7. บริการรวดเร็วแป้ปเดียวเสร็จ

แล้ว ร้าน aStore ของเราหละครับ จะเอาสิ่งเหล่านี้มาประยุกต์ใด้ไหม ทำให้ถูกใจทั้งคน และหุ่นยนต์ (robot) ความจริงแล้ว Google เองก็พยายามที่จะทำให้ robot ของเขามีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกับมนุษย์ หากเราทำให้มนุษย์ถูกใจแล้ว แน่นอนว่า robot ก็มีแนวโน้มที่จะถูกใจด้วย เพราะ robot ต้องปรับตัวเข้าหามนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์ปรับตัวเขาหา robot สำหรับร้าน aStore ของผมจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องการจัดหน้าร้านเป็นอย่างมาก เพราะมันจะช่วยให้เราขายของได้ง่ายขึ้น หรือแม้แต่ทำให้เราขายของแพงได้มากขึ้นด้วย ลองมาดูรายละเอียดนะครับว่าผมยึดหลักอะไรจาก 7-Eleven มาช่วยทำให้ผมทำร้าน

1. ดูสะอาดตาสบายใจไว้ก่อน - theme ดูสะอาดตา ไม่รกเลอะเทอะ รูปไม่เยอะจนเกินไป จะทำให้ลูกค้า focus ไปยังตัวสินค้าได้ง่ายขึ้น เพราะหากว่ามีอะไรไม่รู้เต็มหน้าจอไปหมด อาจทำให้ลูกค้ามึนหัวได้

2. จัดหมวดให้ดี ทุกอย่างจะดีเอง - แยกแยะเป็นหมวดหมู่อย่างชัดเจน นำ keyword มาใช้เป็นชื่อ Category เขาค้นด้วย keyword ให้จัดประเภทตาม keyword ยกตัวอย่างให้เห็นได้ชัด หากเราเอา keyword เป็น “refurbish garmin 760 gps” แสดงว่าเขามีความรู้ทั้งเรื่องรุ่นของ gps และเขาต้องการอยากได้ refurbish ดังนั้นเราก็ควรจัดหมวดหมู่เป็น New กับ Refurbish และใน 2 หมวดใหญ่ก็ย่อยลงไปแต่ละรุ่นอีก

3. เกินดีกว่าขาด - แม้ว่าเขาจะต้องการเพียง Garmin 760 GPS ก็จริง แต่ใครจะรู้ว่าอยู่ๆเขานึกอยากได้รุ่นอื่นขึ้นมา แต่ถ้าร้านเราไม่มี ก็คงเลี่ยงไม่ได้ที่เขาจะออกจากร้านเราออกไป หรือแม้แต่พวก Accessories เราก็ควรจัดหมวดหมู่ให้เขาเลือกได้อย่างสะดวก

4. เพิ่มพลังดึงดูดด้วยของลดราคา - แม้ว่าเขาจะต้องการ garmin 760 gps เท่านั้น แต่หากเป็นผมแล้ว ผมจะจัดสินค้า promotion ที่มีราคาสูงกว่า หรือใกล้เคียงไว้ข้างๆเสมอ (อย่าเอาของถูกกว่าไว้นะ แล้วจะเสียใจ)

5. สีของร้านสว่างได้เปรียบ - หากใครเคยได้ยินเรื่องพลังของสีกับการตัดสินใจซื้อสินค้า จะรู้ว่าสีที่กระตุ้นให้คนตัดสินใจซื้อสินค้าได้ดีที่สุดคือ สีแดง จึงไม่แปลกที่เขาจะนำคำว่า SALE หรือว่าเชิญเชื่อต่างๆมาทำเป็นสีแดง แต่โดยรวมแล้วสีโทนอ่อนจะไม่ทำให้คนรู้สึกรำคาญ ดังนั้นแล้วเราเลือกสีโทนอ่อน ไว้ และเน้นสีแดงเป็นจุดเด่นๆ จะทำให้ร้านเรามีพลังเพิ่มขึ้นไม่น้อย

6. รูปสาวสวยช่วยได้เยอะ - เขาว่ากันว่าถ้าเว็บไหนมีรูปคนอยู่จะช่วยเพิ่มน่าเชื่อถือให้แก่เว็บนั้น เป็นอย่างมาก ยิ่งรูปผู้หญิงสวยๆด้วยแล้วมันจะยิ่งกระตุ้นให้คนมองรูป เอ้ยยยยย.. กระตุ้นให้เขารู้สึกว่าเขากำลังจะซื้อของกับร้านที่มีตัวตนจริงๆอยู่

7. เว็บต้องโหลดเร็วไว้ก่อน - ความจริงแล้วปัญหานี้ไม่ค่อยพบกับ aStore สักเท่าไร แต่มันก็อาจจะเป็นไปได้ถ้าเรานำรูปขึ้นไปบน Server ที่อยู่ในประเทศไทยซึ่ง คนจากต่างประเทศกว่าจะดึงรูปแสดงได้บางครั้งก็ต้องใช้เวลานานพอดู ดังนั้นขนาดของรูปก็ต้องไม่ใหญ่จนเกินที่จะรับได้ครับ

จากแนวคิดที่ ผมบอกไปข้างต้นคิดว่าพอจะช่วยให้เป็นข้อคิดในการจัดหน้า ร้านอย่างถูกวิธีให้ทุกท่านนะครับ แต่ทุกอย่างก็ยังเป็นเพียงแนวคิดที่ผมทดลองและค้นพบเท่านั้น ซึ่งแต่ละคนอาจจะมีประสบการณ์ที่แตกต่างดังนั้นแล้วจึงอยากจะให้ทุกท่านได้ ทดลองเองก่อนที่จะเชื่อนะครับ

ต้นฉบับ : สร้างร้าน aStore อย่างไรให้ถูกใจคน และหุ่นยนต์

(ข้อมูลจาก www.thaisem.com เขียนโดย คุณ nonezero )

การโปรโมท astore

  • ผมลองทดสอบวิธีทำ Link เข้า aStore มาเกือบทุกแบบแล้วครับ ทั้งแนวทางที่ถูกต้อง และแนวทางที่ผิด
แน่นอนว่าทั้งสองแนวทางสามารถทำให้ aStore สามารถขึ้นไปอยู่ที่หน้าแรกได้ แต่มันต้องประกอบกับ ปัจจัยอื่นๆ
ที่จะทำให้เว็บเราสามารถขึ้นไปได้ง่ายด้วยนะครับ ลองหาอ่านดูบทความเก่าๆ มีคนถามบ่อยมาก

แต่เห็นถามเรื่อง Link ผมจะบอกแค่เรื่อง link เป็นพิเศษแล้วกันนะครับ คือว่าการหา link ทำได้หลายแบบมาก เช่น
0. submit directory - วิธีนี้ผมใส่ไว้อันดับ 0 เพราะมันแทบจะไม่ไ้ด้ผลเลยครับ เลิกคิดได้เลยว่าจะทำให้ aStore ติดได้ด้วยการ submit เว็บ Directory ธรรมดาทั่วไป
1. วางไว้ที่ลายเซ็น - ซึ่งปัจจุบันมีคนวางไว้เต็มไปหมด ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งที่ดีใช้ได้ สำหรับบอร์ดที่มีคนเข้าเยอะๆ อย่างที่ SEM.or.th, ThaiSEM.com
2. วางไว้ในกระทู้ที่เขาอนุญาตให้วาง - ผมเห็นใน SEM.or.th ก็ยังมีให้วางอยู่และมีคนวางอยู่เยอะมากๆ ซึ่งก็ถือว่าคุณภาพพอใช้ได้ครับ
3. วางไว้ตามเว็บชาวบ้าน - อันนี้มีทั้งแบบที่ได้รับอนุญาต และเราแอบวาง หากเราเลือกเว็บที่ดีมีคุณภาพเราก็จะดัน aStore ขึ้นได้อย่างง่าย
4. วางไว้ที่เว็บของตัวเอง - สำหรับผมวิธีนี้ดีที่สุด ไม่ต้องไปพึ่งพาใคร ยิ่งถ้าเรามีเว็บคุณภาพเป็นของตัวเองแล้วยิ่งสบายเข้าไปใหญ่ จะดัน aStore ร้านไหนก็ขึ้นอันดับง่าย
5. ซื้อ text ads - วิธีนี้เหมาะสำหรับคนที่มันใจแล้วว่าร้านนั้นสามารถทำเงินให้เราได้ เพราะราคาค่าเช่าพื้นที่โฆษณาเว็บที่ดีๆ ราคาค่อนข้างสูงตกเฉลี่ยเดือนละ 1000 บาท ดังนั้นถ้าเราไม่มั่นใจจริงอย่าพึ่งใช้วิธีนี้เพราะมันจะทำให้เราเสียเงิน โดยใช่เหตุ

  • แนะนำเกี่ยวกับเพิ่ม BL น่ะครับ ไม่รู้ว่ามีผลมากน้อยแค่ไหน แต่สำหรับผมคิดว่าเวิร์คนะ

คือ การสมัคร Google Alerts เป็นบริการฟรีๆของการกูเกิล เราแค่มีแอดเค้ากูเกิลก็ใช้ได้แล้วครับ (อันนี้เครดิตพี่R@Yครับ แต่พี่เค้าไว้รับข่าว) ล็อคอินเข้าไปในกูเกิล ใน my account ตามรูปน่ะครับ



แล้ว ใส่คียร์เวิร์ดหรือ อะไรที่เกี่ยวข้องกับสินค้าของคุณก็ได้ครับ แล้วเลือกรับเฉพาะ Blog ก็พอครับ แค่นี้เมื่อไหร่ที่มีบล็อคเกี่ยวกับคีย์เวิร์ดที่เรากำหนดไว้ มันจะส่งเมล์มาบอกเราครับ



เพียง แค่นี้เราก็มีที่ๆเราจะใส่คอมเม้น พร้อมแนบลิ้งค์เล็กๆของเราไว้ โดยที่เราไม่ต้องดิ้นรนหาเลย แถมเกี่ยวข้องกับสินค้าที่เราต้องการโปรโมทอีกด้วย แต่บางทีต้องรอเค้า approve comment ของเราอีกทีนะครับ

แต่ขอแค่พี่ๆและเพื่อนๆ บางทีอ่านบทความของเจ้าของบล็อคบ้าง ลงความเห็นเป็นกำลังใจเจ้าของสถานที่ ไม่ควรตั้งนานตั้งตาจะใส่ลิ้งค์อย่างเดียวน่ะครับ นอกจากนี้ พี่ๆอาจไว้รับข่าวคราวอะไรก็ได้ครับ ถ้าแบบนั้นควรเลือกรับเป็นเว็บไซด์จะเหมาะสมกว่า

จ.จื้อ

  • 100 free blog ====
100 aStore <=====> 1 Web site ตามนี้ น่าจะได้ผลคับ
100 Lens Squidoo ====

ความจริงแล้วอยากทำให้ได้ตามนี่คับ กำลังทำอยู่

100 free blog ====
100 aStore <=====> 10 aaapro โดเมนรอง <=====> 1 aaapro หลัก
100 Lens Squidoo ====

ลิงค์วนหากัน สร้างเครือข่ายเองคับ

ส่วนการเพิ่ม traffic bot
Sociale Bookmark =====>socialmarker.com ช่วยได้เยอะ
comment blog =======> PR Backlink Generator โหลด เอาในนี้ได้คับ โปรแกมใช้ง่าย

  • วางไว้ที่เว็บของตัวเอง - สำหรับผมวิธีนี้ดีที่สุด ไม่ต้องไปพึ่งพาใคร ยิ่งถ้าเรามีเว็บคุณภาพเป็นของตัวเองแล้วยิ่งสบายเข้าไปใหญ่ จะดัน aStore ร้านไหนก็ขึ้นอันดับง่าย

(ข้อมูลจาก www.thaisem.com เขียนโดย คุณ nonezero และคุณ จ.จื้อ คุณ joe-un)
สมัครที่


www.astoretracker.com


แล้ว จะได้ code ประมาณ


www.astoretracker.com/stats.php?userid=ชื่อล็อกอินของคุณ
ก็อปเอาลิงก์ดังกล่าวไปแปะที่ช่องใส่ลิงก์รูปโลโก้ในกล่อง Configure Store Header ในขั้นตอน Color & Design ตอนที่คุณสร้าง aStore

คุณก็จะได้รูปโลโก้ Amazon In Associate With พร้อมกับได้สคริปท์สำหรับเก็บสถิติ ผู้ที่คลิกเข้ามาใน aStore ของคุณ













รายงานจะแยกตาม Tracking ID

aStoreTracker.com จัดทำโดย คุณ Pook และ ball6847

(ข้อมูลจาก www.thaisem.com และ www.sem.or.th)
การตรวจ index ก็พิมพ์ site: ตามด้วยชื่อลิ้งค์ astore ที่เราต้องการดูการติด index ใน google เช่น astore ตามลายเซ็นต์ของคุณ pkkmmm ก็พิมพ์

site:astore.amazon.com/discount.garmin.nuvi.760.360.255w.260.bluetooth.portable.gps-20

และก็ลองค้นใน google.com ถ้ามีลิ้งค์ข้อมูลแสดงว่าติดแล้ว แต่ถ้าขึ้น

Your search - site:astore.amazon.com/discount.garmin.nuvi.760.360.255w.260.bluetooth.portable.gps-20 - did not match any documents.

ก็แปลว่ายังไม่ติด index
(บทความจาก www.thaisem.com เขียนโดยคุณ IPPO)
  • ใช้ Firefox ครับ แล้วใช้ Add on ของ seobook ชื่อ rankchecker http://tools.seobook.com/firefox/rank-checker/
  • ใช้เครื่องมือ aStore Rank Checker ของคุณhiyukaus Version 1.1 updated
    - เพิ่มการแสดงผล จำนวนหน้าที่ติด index ใน Google
    - เพิ่มการแสดงผล จำนวน result ทั้งหมดของ keyword นั้นๆ
    - เพิ่มการ check อันดับของ Google ในแต่ละประเทศ เช่น us, uk, jp

    aStore Rank Checker 1.14 updated - unrar แล้วเอาไปทับตัวโปรแกรมเดิมได้เลยครับ สำหรับคนที่ยังไม่เคย install ให้ดาวน์โหลดตัว install ด้านล่างก่อนครับ เมื่อลงเสร็จแล้วให้ดาวน์โหลดตัวนี้ไปทับ


    หลังจากปั่น aStore มาพักใหญ่ ทำให้มีร้านจำนวนเยอะพอสมควร ซึ่งทำให้ผมเสียเวลาเป็นอย่างมากในการไล่เช็คอันดับของทุกร้าน ทุกวัน ผมเลยได้เขียนโปรแกรมตัวนี้ขึ้นมาช่วย ซึ่งได้ลองใช้เองแล้วก็รู้สึกว่ามัน work นะ เลยเอามาแจกเผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆครับ
    ตัวโปรแกรมโหลดที่นี่ครับ
    aStore Rank Checker
    ก่อน install ต้องลง .net framework 1.1 ก่อนครับ
    Microsoft .NET Framework 1.1

    โปรแกรมนี้สามารถ เช็คอันดับของร้านเราใน Google ว่าติด 1 ใน 100 หรือไ่ม่ และบอกว่าิติดอันดับที่เท่าไหร่ด้วยครับ

    วิธีการใช้งาน
    หลัง จากลงโปรแกรมเสร็จแล้ว ให้เข้าไปที่ folder ที่ install เปิดไฟล์ astore.txt ขึ้นมา แล้วนำ url ของ aStore ใส่เข้าไป 1 url ต่อ 1 บรรทัด ครับ ถ้าต้องการระบุ keyword ที่ต้องการเช็คอันดับ ให้ใส่ "," ต่อจาก url แล้วตามด้วย keyword นะครับ ถ้าใม่ใส่ keyword ระบบจะดึงเอา tracking id เป็น keyword ครับ สำหรับ keyword ตอนนี้สามารถใ่ส่ได้ แค่ 1 keyword ต่อ 1 url เท่านั้นครับ
(บทความจาก www.thaisem.com และ www.sem.or.th)
สวัสดีครับ

หลังจากที่ได้ทวงคุณ pook เกี่ยวกับห้อง aStore คุณ pook ก็จัดให้ทันที

วันนี้เลยขอมาเปิดกระทู้ด้วยการแชร์เทคนิคการหา keyword เพื่อสร้าง Unique aStore ของผมน่ะครับ


ขั้นที่ 1 เปิดเข้า amazon แล้วเข้าไปหมวดสินค้าอะไรก็ได้ ตัวอย่างผมจะเข้าไปที่

Auto Motive> Motor Oil

ผมสังเกตุเห็นว่ายี่ห้อ Royal Purple มีสินค้าขายอยู่ค่อนข้างมาก (99) จึงถือว่าเป็นยี่ห้อที่น่าสนใจ ก็ขอเลือกตัวนี้แล้วกันครับ


ขั้นที่ 2 เอาไปตรวจสอบว่ามีคู่แข่งที่เป็น aStore อยู่หรือเปล่า โดยพิมพ์ site:astore.amazon.com Royal Purple

จะเห็นได้ว่า มี index เกี่ยวกับสินค้ายี่ห้อ Royal Purple แค่เพียง 58 แถมไม่มีใครใช้ Royal Purple มาเป็น tracking id ซะด้วย
แสดงว่าคู่แข่งสินค้าตัวนี้ใน aStore ไม่มีครับ


ขั้นที่ 3 ใช้ยี่ห้อ เป็น Keyword หลัก และไปหา Niche keyword ของ Royal Purple และประมาณการค้นหาของ keyword

โดยใช้เครื่องมือที่เวบ
Code:
http://tools.seobook.com/keyword-tools/seobook/index.php


ขั้นที่ 4 นำ Niche keyword ไปพิมพ์ตรวจสอบปริมาณคู่แข่งใน google ตัวอย่างผมจะเลือกคำว่า Royal Purple Oil จะเห็นได้ว่าคำนี้มีปริมาณการค้นหาค่อนข้างสูงและคู่แข่งใน google ก็ไม่เกิน 3 แสน ก็ถือว่าเป็น Niche keyword ที่น่าปั้นได้

จึงใช้ Royal.Purple.Oil เป็น tracking id (ผมชอบใช้ . คนอื่นจะใช้ - ก็ได้นะครับ)


ขั้นที่ 5 สร้าง aStore ขั้นตอนนี้คงไม่อธิบายอะไร ใช้วิธีตามคุณ pladib เลยครับ

http://forums.sem.or.th/index.php/topic,9954.0.html



แต่เทคนิคเสริมสำหรับตรงนี้คือ เราย้อนกลับไปดูที่
Code:
http://tools.seobook.com/keyword-tools/seobook/index.php

และดูว่า keyword นี้มีคนค้นหาเกี่ยวกับการซื้อขายบ้างหรือไม่ ก็นำ keyword เหล่านี้ มาเขียนแทรกปนใน title catarogy และ descriptions อย่างในรูปก็มีเช่น best price on royal purple หรือ royal purple lowest price

ผม ถือว่าการเติม prefix และ suffix เหล่านี้ให้กับ keyword เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะบางครั้ง aStore เราสร้างใหม่ ๆ จะดันให้ขึ้นอันดับใน keyword หลัก อาจทำได้ยาก

แต่ถ้าหากมีการ เสริม prefix และ suffix (เช่น buy, cheap, discount, sale เป็นต้น) เข้าไปโอกาสที่มีคนจะค้นเจอ aStore เราจะมีเยอะขึ้น

และ prefix และ suffix ที่เราเสริมก็เป็นเกี่ยวกับการซื้อขาย คนที่ค้นมาจึงมีโอกาสสูงที่จะซื้อสินค้าเราครับ

ที่เหลือก็อาจจะต้องโปรโมท aStore ไปเรื่อย ๆ จนสามารถติดอันดับได้ใน keyword หลักครับ ถ้าดวงดีก็ขึ้นหน้าแรกได้ไวครับ 555+



อีกนิดน่ะครับ จากรูปจะเห็นว่าถ้าเราเลือกสินค้าให้ ชื่อของสินค้ามี keyword แทรกอยู่ตลอด สิ่งนี้แหล่ะครับ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ aStore เราเด่นมากใน keyword นี้ ทำให้การทำอันดับใน google ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย

พอแค่นี้ก่อนแล้วครับ เพราะผมเขียนไปเริ่มจะงง ๆ แล้ว คิดคงจะมีคนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจเพียบ 555

แต่ก็ลองทำความเข้าใจและเอาไปประยุกต์ใช้กันดูน่ะครับ

ขอบคุณครับ
(บทความจาก www.sem.or.th เขียนโดยคุณ mail4k)
ตัวอย่างนะครับ >>>> http://astore.amazon.com/ipod.touch.accessories-20

ไปที่ color & Design แล้วไปที่ Edit Css

แล้วก็

/* PAGE STYLE */
body {
margin:24px;
padding:0px;
background:#FFFCEB;
color:#666666;
min-width:748px;
font-family:'Verdana', sans-serif;
font-size:9pt;
font-weight:500;
line-height:12pt;
text-decoration: none;
text-align:center;
}
table {
font-family:'Verdana', sans-serif;
font-size:9pt;
}
form {
margin:0px;
}
a {
color: #0081DF;
text-decoration: underline;
}
a img{ border:none;}
hr {
border:0;
width:100%;
color:#5A8F00;
background-color:#5A8F00;
height:1px;
width:100%;
margin:6px 0px 12px 0px;
}
#wrap {
width:880px; <<<<<<<<<<<<<<<<< แก้ตรงนี้ก่อนเพราะนี้ถ้าใส่ขนาดน้อยไปจะทำให้ ลิ้งไปหมวดต่างๆ จะอยู่ด้านล่าง
margin:0 auto;
text-align:left;
}
#rule {
height:1px;
background-color:#666666;
width:100%;
margin:6px 0px 12px 0px;
}
h2 {
font-size:16px;
font-weight:bold;
margin:0px;
padding:0px;
}
h3 {
font-size:14px;
font-weight:bold;
margin:0px;
padding:0px;
}

/* MAIN PAGE AREA */
#mainwrap {
float:left;
}
#main {
width:670px; <<<<<<<<<<<<<<<< อันนี้คือขนาดของ astore นะครับ
margin-bottom:19px;
overflow:hidden;
}
div#header {
background:#5A8F00;
padding:6px 24px 4px;
margin:0;
vertical-align:middle;
}
a#mainheadertitle {
padding:0px;
font-family:'Verdana', sans-serif;
font-size:12pt;
font-weight:normal;
line-height:1.5em;
color:#FFE92A;
margin:0px;
text-align:left;
vertical-align:middle;
text-decoration:none;
}
a#mainheadertitle:hover {
text-decoration:underline;
}
td#mainheaderlogo {
padding:5px;
}
img#mainlogo {
padding-right:5px;
}
div#mainsubheader {
background:F3F3F3;
padding:10px 24px;
vertical-align:middle;
}
div#contentsubheader {
width:600px;
overflow:hidden;
}
div#subheaderlinks {
float:right;
text-align:right;
}
div#subheadertitle {
font-size:15pt;
font-weight:bold;
}
div#contenterror {
background:#000000;
padding:14px 24px;
}
span.currentpage {
font-weight:bold;
}

span.error {
font-weight:bold;
}

/* SIDEBAR */
#sidebar {
float:right;
width:200px;
overflow:hidden;
}
#sidebar ul {
margin-bottom:0;
}
#sidebar h3, #sidebar p {
padding:0 10px;
}

/* GENERAL SIDEBAR WIDGET STYLES */
ul#widget,ul.widget li.widget {
margin:0;
padding:0;
list-style:none;
}
li.widget {
float:left;
width:200px;
margin-bottom:19px;
}
ul#widget div {
background:#FFFFFF;
}
ul#widget h3 {
font-family:'Verdana', sans-serif;
font-size: 10pt;
font-weight: bold;
color:#FFE92A;
margin:0px;
padding:6px 15px 4px;
text-align:left;
background:#5A8F00;
}
ul#widget p {
font-family:'Verdana', sans-serif;
font-size: 9pt;
font-weight: normal;
color:#666666;
margin:0px;
padding: 10px 15px 20px;
}

/* SEARCHBROWSE WIDGET */
div#searchbrowse {
padding:14px;
}
div#searchbrowse div.indent {
padding: 5px 0px 5px 15px;
}
select.searchwidget {
width:173px;
margin-bottom:6px;
}
input#searchwidgetkeywords {
width:134px;
}
span#SearchAtAmazon {
font-size: 8pt;
}
div#browsetitle {
font-weight:bold;
padding-bottom:7px;
}
span.selectedcategory {
font-weight:bold;
}

/* LISTMANIA WIDGET */
div.listwidget {
padding-bottom:16px;
}
ul.listmania {
margin:0px;
padding:0px;
list-style:none;
}
ul.listmania li {
margin:0px;
padding:5px;
padding-left:10px;
list-style:none;
text-align:center;
}
ul.listmania li.clsOdd,li.listimages {
background-color:#FFFFFF;
}
ul.listmania li.clsEven {
background-color:#FFFFFF;
}

img.listimage {
display:block;
margin-left:auto;
margin-right:auto;
}

/* PRODUCTS WIDGETS */
div.productwidget {
padding:0px;
padding-bottom:16px;
}
div.productwidget .price {
font-weight:bold;
}
table.sidebarproducts {
font-family:'Verdana', sans-serif;
font-size:9pt;
width:200px;
}
table.sidebarproducts td {
padding:5px;
}
table.sidebarproducts td.image {
vertical-align:top;
width:75px;
}
table.sidebarproducts td.text {
vertical-align:middle;
width:115px;
}
table.sidebarproducts span.listtitle {
font-weight:bold;
}
div.privacylink {
padding: 2px 5px;
font-size:7pt;
text-align:center;
}

/* FOOTER */
div#footer {
width:530px;
margin-bottom:28px;
color:#5A8F00;
border-top:1px solid #5A8F00;
}
div#footer p {
padding:5px;
margin:0;
}
div#leftfoot {
float:left;
width:650px;
}
div#rightfoot {
float:right;
width:100px;
text-align:right;
}

/* WISHLIST WIDGET */
div#wishlist_page_link
{
padding:7px 5px 5px;
}




แล้วมาที่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

Categories page


div#featuredProducts {
background:#FFFFFF; <<<<<<<<<<<<<<<<< พื้นหลังสินค้าครับจะให้มีสีอะไรก็ใส่โค็ตไป
padding:14px 24px;
}
div#featuredProducts .price {
font-weight:bold;
}
table.products {
width:650px; <<<<<<<<<<<<<< ขนาดของ Categories page ปรับตามความต้องการ
font-family:'Verdana', sans-serif;
font-size:9pt;
}
table.products td {
width:35%; <<<<<<<<<<<<<<<<<<< 35% ปรับเอานะครับ คือต้องให้สัดส่วนของ Categories page ครับ
padding:5px;
}
table.products tr.pagination {
text-align:center;
}
table.products tr.imagerow td {
vertical-align:bottom;
}
table.products tr.textrow td {
vertical-align:top;
padding-bottom:20px;
}

แก้เอาตามความชอบนะครับ แก้ไม่เป็นถามมานะครับ
(บทความจาก www.thaisem.com เขียนโดยคุณสี่เสียวว้อย (เต้ยครับ))
โค้ดการทำหน้าสินค้าของ aStore ให้เป็นกรอบสี่เหลี่ยมที่ว่าหมายถึงแบบนี้หรือเปล่า
คือการแสดงสินค้าขึ้นมา จะมีกรอบสี่เหลี่ยมล้อมรอบรูปสินค้า เมื่อเอาเม้าส์ไปชี้จะเปลี่ยนสีกรอบ
ถ้าต้องการอย่างนี้ ให้เอาโค้ดนี้ไปใส่ใน Overriding CSS ของ aStore ในส่วนของแถบ Category Page

table.products tr.imagerow td {
vertical-align:bottom;
text-align: center; /* กำหนดตำแหน่งการแสดงรูปภาพสินค้าให้อยู่ตรงกลางของกรอบสี่เหลี่ยม */
}
table.products tr.imagerow td a {
border: 2px solid #FFEEEE; /* กำหนดขนาดกรอบ 2px, ลักษณะเส้นทึบ และสีของกรอบชมพูอ่อน */
display: block;
margin: 0px;
height: 125px;
}
table.products tr.imagerow td a:hover {
border: 1px solid #FFAAFF; /* เมื่อเอาเม้าส์มาชี้ในกรอบ กำหนดขนาดกรอบ 1px, ลักษณะเส้นทึบ และสีของกรอบชมพูเข้ม */
}
(บทความจาก www.thaisem.com เขียนโดยคุณ P@^_^@K)
เห็นหลายคนสงสัยวิธีแก้ หน้าตาของ Astore

ผมเลยเอามาทำเป็นภาพ เผื่อมือใหม่(อย่างผม)จะได้เอาไปใช้ประโยชน์

1.ลำดับแรก Login เข้า Astore
2.เลือก Astore ตัวที่เราจะแก้ไข
3.จากนั้น เลือกที่ Color & Design ดังภาพ





4.เมื่อเข้ามาแล้ว ให้เลือกที่ Edit CSS




5.พื้นที่ขาวๆนี่ สำหรับปรับแต่งครับ


6.ให้ Copy ข้อมูลทางฝั่งขวา มาใส่ในช่องขาวๆนี้

EX: สมมุติเราอยากให้ หน้าของ Astore มาอยู่ตรงกลางหน้า ให้ทำดังนี้


1.ใส่ข้อความในกรอบสีชมพูลงไปยังตำแหน่งดังรูป







ผลก็คือ astore เราก็จะอยู่ตรงกลาง

เป็นอันเสร็จครับ

ข้อมูลดังกล่าวได้จากเว็บนี้ล่ะครับ มาทำใหม่เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น

ขอบคุณทุกท่านที่เอามานำเสนอครับ

(บทความจาก www.thaisem.com เขียนโดยคุณ headball)
วิธีทำ aStore ให้มีคนเข้า ที่ผมใช้อยู่นะ
1 หา niche market พวกคีย์เวิร์ดที่มีผลการค้นหาต่ำกว่า 5 หมื่น อันนี้ล่ะดีเลย ที่สำคัญก็ต้องมีคนค้นหาด้วยนะครับ ใช้ keywords external ของ google เช็คเอา
2 เอาคีย์เวิร์ดไปตั้งเป็นชื่อ aStore ใช้ "-" หรือ "." ขั้นก็ได้ เช่น cheap-ipod หรือ cheap.ipod
3 เอา aStore ที่ได้ไปใส่ใน eiggy account ก็จะได้ลิ้งมาล่ะ
4 เอาลิ้งไปโปรโมทเหมือนเดิม เหมือนกับโปรโมท aStore ล่ะครับ

ถ้า เป็น niche ที่ผมเคยทำมาประมาณ 2 weeks กะ 5 aStore ก็มีคนเข้าประมาณ 20-30 UIP ทุกวันนะครับ มีซื้อบ้าง แต่ที่น่าเสียดายคือที่เข้ามาแล้วไม่ซื้อนี่ดิครับ ก็เลยคิดว่าติด adsense เอาไว้ซะ ถึงไม่ซื้อมันก็ต้องคลิกบ้างล่ะ ก็จะทำให้ได้เงินเข้าทุกวันครับจาก 2 ทาง ถ้าเพิ่มจำนวนเข้าไป เงินที่ได้ต่อวันก็จะเพิ่มขึ้นอีก ว่าจะอัดเข้าไปสัก 100-200 store แล้วโปรโมทอย่างเดียว

หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อคนที่ทำ aStore นะครับ

(บทความจาก www.thaisem.com เขียนโดยคุณ ColdMoney)
สำหรับวันนี้ผมก็มาทำตามสัญญาครับที่บอกว่าถ้าผมทำรายได้เกิน $66 เมื่อไรผมจะมาเขียนบทความ (จริงๆ พูดไว้เล่นๆนะ แต่ดันขายได้เยอะวันนี้พอดี) ในที่สุดผมก็ทำได้สักที่ $100 ภายใน 1 วัน แต่ของยังไม่ Ship ไว้ Ship แล้วจะ Capture ภาพมาใส่ให้ดู แม้มันจะเป็นเพียงวันเดียวที่ผมขายได้เท่านี้ แต่มันก็ฝันของผมที่จะไปให้ถึง $100 ให้ได้สักครั้ง และเป้าหมายต่อไปของผมคือ ทำ $100 up / วัน ให้ได้ทุกวัน สำหรับบทความต่อไปคงต้องลุ้นให้ผมได้ $100 up/วัน ติดกันอย่างน้อย 5 วันก่อนนะครับ 555555 (อะ ย้อออ เย้นนนนนน) ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งที่ผมจะบอกในบทต่อๆไปจะทำให้รายได้ของผมกลับไปสู่จุด เริ่มต้นหรือไม่ แต่ผมก็ยังเชื่อว่าการให้ย่อมทำให้ผมได้รับ บ่นไปก็เยอะมาเริ่มบทเรียนตอนที่ 3 กันได้เลย ในชื่อตอนว่า "ทำ aStore-เอา-สตางค์ 3 - ปัจจัยในการเลือกสินค้าทำ aStore" อยากจะย้ำอีกสักครั้งว่าก่อนจะเชื่อขอให้ได้ลองทดสอบก่อนนะครับ เพราะมันก็ยังเป็นสิ่งที่ผมทดลองเพียงคนเดียวเท่านั้น อย่าเชื่อจนกว่าจะได้พิสูจน์ด้วยตัวเอง

แน่นอนว่าทุกอย่างต้องมีจุด เริ่มต้นก่อนที่จะไปถึงการเติมแต่งที่ผมเคยเล่าไปในบทที่ 1 หากเราก้าวผิดเพียงนิดเดียวอาจจะทำให้เราหลงทางไปเลยก็ได้ aStore ก็เปรียบเสมือนร้านค้าร้านหนึ่งในโลก cyber หากเทียบกับโลกแห่งความเป็นจริงแล้วก็มีหลายส่วนที่คล้ายกัน การจะเปิดร้านค้าสักร้านหนึ่งเราคงต้องคิดก่อนจะทำ เพราะหากทำไปแล้วไม่มีอะไรกลับมามันก็ย่อมทำให้เราเสียทั้งเงิน และเวลา สิ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เราใช้ในการตัดสินใจว่าเราควรจะเปิดร้านค้าที่เราต้อง การหรือไม่ก็คือ ปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบทั้งด้านบวก และลบ หากพินิจพิจรณาดูแล้ว เป็นบวก ซะส่วนใหญ่ ร้านเราก็ย่อมมีโอกาสทำเงินกลับมาให้เรา แต่หากว่ามันเป็นลบซะส่วนใหญ่แล้วเราจะเปิดทำไมในเมื่อเปิดไปก็เจ๊งอย่าง เดียว สำหรับผมแล้วผมจะมอง 5 ปัจจัย ซึ่ง 4 ข้อแรกเป็นปัจจัยภายนอก และในข้อสุดท้ายเราต้องนำทั้งปัจจัยภายนอก และภายในมาร่วมพิจรณาครับ ลองมาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

5 ปัจจัย อยู่หรือไปก็บอกมา
1. คุ้มเอาไม่คุ้มไม่เอา
2. คนซื้อต้องได้เข้า คนเข้าต้องได้ซื้อ
3. ซื้อง่ายขายคล่องไม่ลองไม่รู้
4. คู่แข่งน้อยสอยเรียบ
5. รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งกินนิ่มร้อยครั้ง

เริ่มกันที่ข้อ 1 คุ้มเอาไม่คุ้มไม่เอา - ไม่ว่าเราจะขายสินค้าด้วยวิธีใดก็ตามเราจำเป็นที่จะต้องสำรวจความต้องการ ก่อนครับ ไม่ใช่ตะบี้ตะบันขายสินค้าที่อยากขาย ยิ่งเราต้องเสียเวลาในการทำร้าน aStore ขึ้นมาแล้ว แรงที่เราลงไปนั้นก็เปรียบเสมือนทุนที่เราต้องเสีย หากทำไปแล้วไม่มีคนเข้า ไม่มีคนซื้อ มันก็เปรียบเสมือนการขาดทุนครับ ดังนั้นผมจะมองหาสินค้าที่มีคนซื้อก่อนเสมอครับ เมื่อผ่านไปได้ก็พิจรณาข้อถัดไป

ตรวจสอบข้อ 2 คนซื้อต้องได้เข้า คนเข้าต้องได้ซื้อ - คำว่ามีกำลังซื้อของผมไม่ใช่เพียงแค่มีเงินซื้อ แต่หมายรวมถึงสามารถซื้อของในร้านเราได้ด้วย เชื่อหรือไม่ว่าสินค้าบางประเภทคนที่แวะเวียนเขา aStore ไม่ใช่กลุ่มคนที่มีกำลังซื้อ หรือว่าอยากจะซื้อแต่ซื้อไม่ได้ ยกตัวอย่างให้เห็นได้ชัด สินค้าจำพวก electronic นั้นส่วนใหญ่จะส่งเฉพาะภายในอเมริกาเท่านั้น แต่ว่าสินค้าที่เราเลือกดันไปบูมที่แถบ asia หรือประเทศกำลังพัฒนา เช่น asus eee pc ซึ่งเป็น notebook ราคาประหยัด ที่เป็นที่นิยมมากในแถบประเทศโลกที่ 3 ดังนั้นแม้ว่าเราจะเห็นว่า impression เกิดขึ้นจำนวนมาก ผมก็ไม่แปลกใจเลยที่จำนวนคนสั่งซื้อจาก aStore ของเราจะมีเพียงน้อยนิด หรืออาจจะไม่มีเลย

เช็คข้อที่ 3 ซื้อง่ายขายคล่องไม่ลองไม่รู้ - จะว่าไปแล้วผมให้ความสำคัญกับข้อนี้เป็นอันดับต้นๆ หากเพื่อนๆได้ลองสืบหาข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้าน aStore จะพบว่าสินค้าส่วนใหญ่ที่เขาขายได้จะเป็นสินค้าประเภท Toys ซะส่วนใหญ่ เพราะว่าสินค้ากลุ่มนี้ราคาไม่สูง และความแตกต่างของราคาในแต่ละเว็บแทบจะไม่มีเลย ดังนั้นแล้วการที่เขาจะตัดสินใจซื้อที่ aStore ของเรามันก็มีโอกาสมากขึ้นไปด้วย ขายของถูกแต่จำนวนมากก็สามารถทำเงินให้เราเป็น $100 ได้จริงไหมครับ

ห้ามพลาดข้อ 4 คู่แข่งน้อยสอยเรียบ - จะทำ aStore ให้ขึ้นหน้า 1 ได้นั้นมีปัจจัยหลาย อย่างแต่หนึ่งในปัจจัยที่ผมต้องนำมาพิจรณาในการเลือกสินค้าเสมอคือ จำนวนคู่แข่งต้องไม่มากเกินไป หากว่าเกิน 100,000 คนจะเริ่มคิดหนักแล้วเพราะว่าอาจจะไม่คุ้มแรงที่ต้องเสียไป การสู้กับคนจำนวนน้อยย่อมดีกว่าจริงไหมครับ

ปิดท้ายด้วยข้อ 5 รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งกินนิ่มร้อยครั้ง - รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง คำพูดนี้ยังคงใช้ได้ดีอยู่เสมอ ก่อนอื่นเพื่อนๆต้องวัดความสามารถของตัวเองให้ได้ก่อนว่า ความสามารถเรามีมากน้อยแค่ไหน แน่นอนว่าแต่ละคนย่อมมีไม่เท่ากัน หากเราลองดูแล้วเราสามารถขึ้นหน้า 1 ได้เมื่อคู่แข่งไม่เกิน 50,000 คน เราก็ต้องหา keyword ที่มีคู่แข่งไม่เกิน 50,000 คน มาใช้ในการทำ niche aStore เพราะหากเรามัวแต่ไปเล่น keyword ที่มี traffic จำนวนมาก แต่เราไม่สามารถขึ้นไปหน้า 1 ได้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ลองเลือกเอาครับระหว่าง

Search 1000 คน/วัน คู่แข่ง 100,000 อยู่หน้า 3 Click 3 คน/วัน X ทำ 100 เว็บ = Traffic วันละ 300 คน
Search 100 คน/วัน คู่แข่ง 50,000 อยู่หน้า 1 Click 10 คน/วัน X ทำ 100 เว็บ = Traffic วันละ 1000 คน

(บทความจาก www.thaisem.com เขียนโดยคุณ nonezero)
หลังจากที่เขียนบทความออกไปเลยตั้งใจทำออกมาเป็น Series ในชื่อว่า "ทำ aStore-เอา-สตางค์" เลยแล้วกัน จะได้มีประโยชน์สำหรับคนรุ่นหลัง เืนื่องจากปัญหาพักหลังคือการ de-index ของหน้า aStore ทำให้หลายๆคน ที่ทำไปกว่า 100 ร้านน้ำตาไหลกันเป็นแถวๆ นั่นเพราะ Google มองว่า aStore ที่เกิดขึ้นจำนวนมากอย่างรวดเร็วด้วยฝืมือคนไทย (ส่วนใหญ่) เป็น aStore ที่ยังไม่ค่อยมีคุณภาพเท่าที่ควร แน่นอนครับ ในเมื่อเว็บมันไม่มีคุณภาพ Google จะเก็บเอาไว้ทำไมให้เปลืองฐานข้อมูลเขา ผมลองวิเคราะห์ดูสาเหตุหลักๆ ที่ผมพบเห็นเป็นประจำก่อนนะครับ

1. Duplicate Content : แปลเป็นไทยว่า "ยืมทั้งหมดมาใช้โดยไม่บอกกล่าว"
2. Keyword Spam : แปลเป็นไทยว่า "อัด keyword ที่เน้นจนอ่านเนื้อหาไม่รู้เรื่อง"
3. Link Farm : แปลเป็นไทยว่า "สร้างเว็บขึ้นมา 1 เว็บ อัด link aStore เป็น 100"

นี่ เป็นเพียงความคิดของผมฝ่ายเดียวเท่านั้นนะครับ ท่านอื่นอาจมีความเห็นแตกต่าง แต่หลายคนถามผมว่าทำยังไงร้านถึง index หน้าแรกได้นาน คำตอบผมคือ "ไม่ทำทั้ง 3 ข้อด้านบน" โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อ 1 ครับ หากจะเริ่มสร้างร้าน aStore ที่ถูกต้อง ผมจะใช้หลักหนึ่งซึ่งเป็นหัวใจในการทำ aStore ของผมคือ "จะเป็นที่ 1 ต้องทำไม่เหมือนที่ 1" เช่นเดียวกัน หากผมค้นหาดูแล้วว่ามี aStore ติดหน้าแรกเป็นของคนอื่นอยู่ หากผมคิดจะแย่งก็ง่ายนิดเดียว (เพราะฉะนั้น พวก post link ไว้ระวังนะครับ อิอิ ล้อเล่นนนน) คือ สร้างร้านที่เหนือกว่าร้านนั้น ขยายความคือ ไม่ copy เขามาครับ เพราะหากท่าน Copy เขามา ไม่มีทางเลยที่ท่านจะเป็นที่ 1 ได้ (นาน) เพราะอันดับแรกเว็บเจ้าของเก่าจะโดน de-index หลังจากนั้นเขาจะพยายามทวงคืน และสิ่งที่ตามมาคือ คุณก็โดน de-index ด้วย แล้วเกิดอะไรขึ้นครับ เว็บผมที่ทำออกมาแตกต่าง จากเดิมอยู่ที่หน้า 2 ก็เสียบขึ้นมาอยู่หน้าแรกเฉยเลย หากจะรบต้องชนะอย่างไม่สูญเสียครับ เหมือนที่ใครสักคนกล่าวไว้ (ถ้าไม่มีก็คงเป็นผมกล่าวเองหละ 5555)

ผม จึงอยากให้ล้มเลิกเลยนะครับ สำหรับคนที่ชอบ copy ชาวบ้าน เพราะมันไม่เคยทำให้คุณขายของได้ครับ แต่มันจะทำให้คนอื่นขายไม่ได้เช่นเดียวกับคุณเท่านั้นเอง ซึ่งกรรมมันอาจจะตามสนองคุณเช่นกัน ดังนั้นมาร่วมกันสร้าง aStore สีเขียวกันเถอะ....... เย้ยยยยย

(บทความจาก www.thaisem.com เขียนโดยคุณ nonezero)
ทำ aStore มา 2 เดือน index ก็เยอะขายไม่ได้ แต่หลังจากผมได้เจอเคล็ดลับบางอย่างนอกเหนือจากการทำ niche aStore ที่คนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญ รวมถึงการหา Keyword เพื่อทำ SEO และผมก็เชื่อว่าคนส่วนใหญ่สามารถที่จะทำ aStore โลดแล่นอยู่ในหน้าแรกกันเป็นว่าเล่น แต่ทำไมมันขายไม่ได้สักที่ (หรือว่าผมคนเดียว 555) ผมเลยมานั่งวิเคราะห์ดูว่าทำไมเลยพบปัจจัยต่างๆต่อไปนี้ครับ

ปัจจัยที่ทำให้ผมขายของได้จาก aStore
1. การติดหน้าแรกจากการค้นหา ด้วย Google
2. Keyword ที่ใช้ในการค้นหา
3. ความน่าเชื่อถือของร้าน : ว่าด้วยข้อความบนหน้า aStore
4. ความน่าเชื่อถือของร้าน : ว่าด้วย Theme ของ aStore
5. ควมลับที่ค้นพบโดยตั้งใจ... อิอิ

ของแถมที่มีค่าที่สุดที่ผมเจอ (อ่านข้ออื่นให้จบก่อน อย่าพึ่งลงไปอ่านข้อนี้ ใครไม่เชื่อ..ขอให้วันนี้ขายไม่ออก..อ้าวว ลองดู)
6. Theme&Trick ที่ผมใช้แล้วทำให้ยอดขายกระเตื้องอย่างเห็นได้ชัด จาก $0 -> $10 up ต่อวัน สูงสุดตอนนี้ที่ผมขายได้ $66/วัน

ก่อน อื่นบอกก่อนว่าทั้งหมดเป็นการทดลองของผมเพียงคนเดียวนะครับ และผมก็ไม่ได้เป็นเซียนเก่งๆ เหมือนหลายๆท่าน อย่าพึ่งเชื่อจนกว่าจะได้ทดลองแล้วเท่านั้นนะครับ ถ้าสงสัยว่าทำไมถึงมาบอก ผมก็แ่ค่อยากเอาสิ่งที่ผมทำแล้วมันทำให้ผมก้าวไปข้างหน้ามาบอกคนอื่นบ้างจะ ได้ก้าวไปด้วยกัน แม้มันจะเป็นก้าวเล็กๆ และก็คิดว่ามันก็ได้กระทบอะไรผมอยู่แล้วร้านเพื่อนๆที่ติด index อยู่ผมก็ไม่ได้มาแข่งอะไรกับร้านผมอยู่แล้ว (มั้ง) มันก็เพียงแค่อยากให้ทุกคนมาร่วมกัน Share และคิดค้นวิธีใหม่ต่อไปเท่านั้นเอง ผมจะได้ไป copy&dev เอ้ย..ม่ายช่าย พูดให้สวยก็คือต่อยยอดครับ แล้วก็คนอื่นก็ไปต่อยอดอีก ผมก็ไปต่อยอดคนอื่นอีกที อย่างนี้คนไทยจะได้เจริญ สุดท้ายคือ...แบบว่าทำคนเดียวมันเบื่ออ่ะะะะะ

เริ่มที่ข้อ 1 : ส่วนตัวนั้นผมคิดว่าทุกคนคงจะรู้อยู่แล้ว หากจะให้คนเข้าเว็บเราจาก Search Engine คงจะต้องทำให้ติดหน้าแรกให้ได้ จำไว้ครับ หน้าแรกเท่านั้น..จริงๆ
ตามด้วยข้อ 2 : keyword ที่ใช้ในการทำ ppc กับ seo ผมว่ามันก็คือหลักการเดียวกัน Buying Keyword ย่อมมีโอกาสในการขายของได้มากกว่า เช่น sale discount cheap buy แล้วเคยทดสอบไหมครับ ว่าอันไหนคนค้นหาเยอะกว่ากัน ถ้ายังคงต้องไปลองนะครับ
แถมด้วยข้อ 3 : ความน่าเชื่อถือของ aStore มีความสำคัญมากๆครับ ดังนั้นหลายๆท่านที่นำ keyword ไปพิมพ์ซ้ำๆกัน เพื่อเพิ่ม keyword density คงต้องคำนึงให้มากในส่วนนี้ด้วย ส่วนตัวผมแล้วเริ่มต้นผมก็ทำเช่นเดียวกับทุกท่าน แต่ว่าเป็นภาษาอังกฤษที่อ่านรู้เรื่อง คือไม่ใช่ใส่ keyword จนคนเข้าเว็บงงว่านี่มันอะไรวะเนี่ย.. ลองนึกสภาพสมมุติว่าเดินไปร้านมือถือพอเจอหน้าพนักงานขายยังไม่ได้ถามอะไร เลย ก็เข้ามาพูดกับคุณใหญ่เลยว่า "โนเกีย โนเกีย เอ็นเจ็ดศูนย์ เอ็นเจ็ดศูนย์โนเกีย ซื้อโนเกีย โนเกียลดราคา โนเกียมือหนึ่ง โนเกีย เกียโน(มีเล่น miss spell ด้วย) โนกิ โนไก นกไอ โนกิเอ็นเจ็ด โนไกเอ็นเจ็ด นกไอเอ็นเจ็ด" หลังจากนั้นก็จบด้วยว่า "เมื่อคุณจะซื้อเราจะส่งคุณไปที่ อาเมซอนนนนน" เป็นคุณจะงงมั้ยหละครับ จะกล้าซื้อของร้านนี้ไหม (คงคิดในใจว่า คนขายมันบ้าเปล่าว๊ะะะ ไปซื้อที่ amazon เองก็ได้ไม่เห็นต้อง้อออ)
ตบด้วยข้อ 4 : หน้าตาร้านถือว่าเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญอย่างมาก หลังจากที่ได้ทดสอบดู ร้านที่ปรับแต่ง css กับร้านที่ไม่ปรับแต่ง css ร้านที่แต่งมี order มากกว่าถึง 10% ครับ แต่ใช่ว่าทุก theme จะช่วยให้ร้านเราขายของได้ง่ายขึ้น เราต้องเลือก theme ที่ช่วยส่งเสริมในการขายให้เรา สำหรับ Theme ที่ผมใช้ส่วนใหญ่แล้วขายได้ ผมก็ไป copy มาเขามาใช้แหละ ดูที่ของแถมข้อ 6 แล้วกัน
ปิดท้ายด้วยข้อ 5 : ถึงแม้ว่า aStore จะเป็นร้านที่สร้างโดยระบบของ amazon ก็จริง สำหรับคนที่ตั้งใจจะซื้อของนั้นเขาจำเป็นที่จะต้องเช็คราคาจากหลายๆเว็บด้วย กัน และแน่นอนว่าเมื่อเขาตัดสินใจได้ว่าเขาจะซื้อของที่ amzon เขากลับไม่ซื้อผ่าน aStore ของเรา แต่ไปซื้อกับ amazon.com ซึ่งจุดนี้เราไม่ได้ Commision ใดๆทั้งสิ้น สิ่งสำคัญที่เราต้องทำคือ เมื่อเขาตัดสินใจแล้วว่าจะซื้อของที่ Amazon จะทำยังไงให้เขา Click ผ่าน Link (เราสามารถใส่ได้ที่ Link Back to your page ไรนี่แหละ) ที่เราฝัง tracking-id ของเราไว้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งถ้าเกิดเขาเข้าหน้าเว็บด้วยกรณีนี้ เราก็ได้ Commission แน่นอนครับ

(บทความนี้มาจาก www.thaisem.com เขียนโดยคุณ nonezero ครับ)

Blogger Templates by Blog Forum